ผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่ง โพสต์คลิปวินาทีที่ตัวเองวูบล้ม พร้อมข้อความบอกว่า “ขออนุญาตบอกเล่า แบ่งปันประสบการณ์ เผื่อว่าจะเป็นอุทาหรณ์ ชวนตั้งข้อสังเกต และทำให้ทุกท่านตระหนักหันกลับมาสังเกตร่างกาย กิจวัตรประจำวัน เช่นการดื่มน้ำ การดูแลสุขภาพตนเองให้มากขึ้น และหันมาเห็นความสำคัญของการตรวจสุขภาพประจำปีของตนเองอย่างเป็นประจำครับ
ปีที่แล้วมีอาการผิดปกติกว่าที่เคยเป็นมาคือเลือดกำเดาจะไหลง่าย และบ่อย แต่ด้วยคิดว่ามันเป็นเพราะอาการร้อน เราทำงานหลายอย่างคือทั้งเตรียมเปิดร้านกาแฟที่บ้าน จนถึงตอนเปิดร้าน ทำงานประจำไปด้วย และเราพักผ่อนน้อย จนช่วงมิถุนายนที่ติดโควิดกันทั้งครอบครัว หลังจากรักษาโควิดหายแล้วก็มีอาการไอจนตัวโยกบ่อๆ ทำให้มีอาการปวดบริเวณหลัง และซี่โครง มาก ๆ ไปพบหมอคลีนิควินิจฉัยว่ามีอาการหลอดลมอักเสบ และกระดูกอ่อนบริเวณซี่โครงอักเสบจากแรงดันเวลาไอ หลังจากรับการรักษาด้วยยาก็มีอาการดีขึ้น แต่ยังมีอาการปวดบริเวณเอว เวลาพลิกตัวตอนนอนจะมีอาการเจ็บขึ้นมา มีอาการเป็นไข้ ปวดตามร่างกายบ่อย ๆ น้ำหนักตัวเริ่มลดลง จนพี่ๆ น้องๆ ในที่ทำงานทักว่าผอมลง ก็คาดว่าเป็นเพราะตัวเองป่วยบ่อยช่วงนั้นเลยไม่ได้ใส่ใจ
จนช่วงปลายปีเริ่มมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย และออกมาค่อนข้างมากในแต่ละครั้ง เริ่มสังเกตว่าตัวเองรู้สึกเพลียง่าย เหมือนนอนไม่อิ่ม พักผ่อนเท่าไหร่ก็ไม่พอ ก็คาดว่าเพราะจากทำทั้งประจำงาน ดูแลร้านช่วยภรรยา และงานบ้านต่างๆ จนคิดติดตลกว่าเพราะขี้เกียจด้วยรึป่าวเลยเป็นเหนื่อย ๆ
จนปลายเดือนธันวาคม 65 มีอาการน้ำมูกไหลมาก สลับกับเลือดกำเดาไหลบ่อยขึ้นอีก ต้นเดือนมกราคม 66 เลยเข้าพบหมอคลินิกเพื่อตรวจจมูก สรุปมีอาการโพรงจมูกอักเสบ และมีการติดเชื้อรวมด้วย รักษาด้วยการทานยาจนอาการทุเลาลง แต่มีอาการเพลียอยู่เหมือนเดิม เวียนหัวบ่อย ๆ และน้ำหนักยังลดลงอยู่ มาสังเกตว่าตัวเองมีกล้ามเนื้อเล็กลงจากเดิม ฉี่เป็นฟองค้างเหมือนกับฟองเบียร์
จึงขอเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน คุณหมอวินิจฉัยจากการตรวจเลือดเป็นระยะ ทดลองให้เข้าน้ำเกลือ ผลอัลตราซาวด์ไตที่ออกมา และด้วยปกติแล้วต่ายเป็นคนดื่มน้ำน้อยด้วยอย่างมากไม่เกิน 3-5 แก้วต่อวัน มีประวัติคาดว่าเคยรับยาจำพวก NSIADs และไม่มีผลตรวจสุขภาพประจำปีมาเปรียบเทียบประกอบการวินิจฉัย
คุณหมอสรุปว่าต่ายเป็นไตวายเรื้อรังระยะที่ 4 คือถ้าเป็นระยะที่ 5 ก็ต้องฟอกไตแล้วครับ ส่วนแนวทางการรักษา ก็คือประคับประครองเพื่อชะลอการเสื่อมของไต ด้วยวิตามิน แคลเซียม และยา รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ตามแบบผู้ป่วยโรคไตควรปฏิบัติ แต่อาการที่เพิ่มขึ้นหลังจากนั้นคือ อาการเพลียง่าย หัวใจเต้นเร็ว อาจด้วยการปรับตัวเรื่องอาหาร
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ต่ายมีอาการเดินหลับในจนหงายหลังลงไปนอน ระหว่างที่ลุกจากที่นอนเพื่อพาอิงคะรัชเข้านอนในระหว่างที่ภรรยากำลังเตรียมทำเค้กเพื่อขายวันถัดไป ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีอาการแย่ลงเร็วจนเกินไป เลยขออนุญาตโรงพยาบาลส่งตัวมาเข้ารับการรักษาตัวเพิ่มเติมที่ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จากผลการตรวจเลือด ปัสสาวะ และเอกซเรย์ คุณหมออายุรกรรม วินิจฉัยเบื้องต้นคาดว่าจะเป็น โรคมัลติเพิลไพอีโลม่า (MM) ส่งผลทำให้ไตถูกทำลาย แต่ก็ต้องมีการตรวจรักษาอีกหลายอย่างเพิ่มเติม เลยต้องได้แอดมิทอย่างไม่มีกำหนดไปก่อนครับ”
ขอบคุณภาพจาก Facebook – Romboon Khuethan